นักศึกษาวิชาทหารชั้นปี 3 ทุกคนต้องผ่านการฝึกภาคสนามจึงจะสามารถจบการศึกษาไปได้ ตัวผมเองจึงต้องไปเข้ารับการฝึกที่ค่ายเขาชนไก่ เพื่อจบการศึกษาเหมือนกัน
วันแรก
ผมออกเดินทางโดยรออยู่ที่บริเวณปั้มน้ำมันตรงข้ามกับบิ๊กซีนครปฐม แต่เกิดเหตุขัดข้องเล็กน้อยเนื่องจากรถเต็มแล้ว แต่ก็มีรถมารับพวกผมไปในภายหลัง ทำให้ผมพลาดที่จะได้ไปยังอุทยานเก้าทัพเนื่องจากใช้เวลาหมดไปกับการรอรถ
เมื่อถึงเขาชนไก่ ในวันแรกคือเรียนรู้วิธีการยิงปืน M16 ก็เป็นแค่วันที่ไปนั่งฟังธรรมดาๆ ไม่มีอะไรมากมาย และตอนเย็นก็เดินทางกับกองพัน ซึ่งจะเป็นที่พักของเราโดยการเดินเท้าระยะทางประมาณ 2.5 กิโลเมตร
เมื่อถึงแล้วผมอยู่กองพันที่ 34 ต้องกินข้าวในความมืดเพื่อไม่ให้รบกวนกองพันข้างๆที่กำลังดูพรีเซนต์อยู่ กว่าจะได้เข้านอนก็เวลาประมาณ 22.00 อากาศเวลากลางคืนหนาวมาก เนื่องจากผลกระทบของพายุ ดีที่ผมนำผ้าห่มไปด้วย ไม่เหมือนปีที่แล้วที่แม้เป็นกลางคืนร้อนตับแลบ
วันที่ 2
เราตื่นเวลา 4.20 น. กินข้าวเวลา 6.00 น. เพื่อไปถึงสนามยิงปืนก่อน 7.30 น. วันนี้เราจะยืงปิน M16 กันจำนวน 18 นัดอย่าลืมนำที่อุดหูไปด้วย เนื่องจากปืนนั้นดังมาก อาจทำให้หูเราได้รับบาดเจ็บได้ ส่วนแต้มที่ได้จากการยิงปืนผมเองก็ทำได้ไม่ดีเท่าใดนัก
ในตอนบ่ายจะเป็นวิชาเคมีชีวะรังสีนิวเคลียร์ วิชานี้นอกจากได้นั่งฟังแล้ว เรายังได้วิ่งผ่านแก๊สน้ำตาอีกด้วย เป็นประสบการณ์แสบที่ไม่รู้ลืมเลยละ มันแสบไปหมดทั้งตัวจริงๆ
ในตอนเย็นเราก็มานั่งฟังพรีเซนต์เรื่องอุดมการณ์ความรักชาติในชุดครึ่งท่อน อย่าลืมนำกระเป๋าเงินออกมาด้วยละ มิเช่นนั้นอาจจะไม่มีเงินซื้อของกินก็ได้ มีหลายคนมากที่ลืมหยิบเงินมา ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
วันที่ 3
วันนี้มักเรียกขานกันว่าเป็นวันเข้าป่า วันนี้จะตื่นเวลา 4.00 น. รีบทานอาหารเช้าเวลา 5.00 น. เราจะข้ามฝายน้ำล้นไปยังอีกฝั่งหนึ่งซึ่งไม่เคยไปมาตอน ปี 2 เราจะเดินไปเรื่อย จนกระทั่งเวลา 8.00 น. ก็จะถึงยังบริเวณจุดที่จะใช้ฝึกในวันนี้ พร้อมกับยืนตรงเคารพธงชาติที่นั่น
เมื่อมาถึงที่นี่กองพันจะถูกแบ่งออกเป็นอย่างละครึ่ง โดยครึ่งผม ตอนเช้าฝึกบุคคลทำการรบ วิ่ง หมอบ คลาน ไถล ไปเรื่อยๆ และตอนบ่ายเป็นการฝึกการจัดรูปขบวนหมู่ปืนเล็ก แต่ผมกลับถูกพาตัวให้ไปซ้อมเป็นชุดสาธิตการหาข่าวในเวลากลางคืนจึงไม่ได้ทำการฝึกนี้
ตอนเย็นมีวิชาการดำรงชีพ เราได้ฟังถึงเรื่องแปลกๆมากมาย มีกระทั่งลองให้กินเนื้อสุนัขและเด็ดที่สุดคือทำอาหารกินเอง
ตอนกลางคืนเป็นการหาข่าวเวลากลางคืน หลังจากผมทำการสาธิตเสร็จแล้ว ผมก็เดินตามปิดขบวนไป โดยชุดผมมีเพียง 22 คนเท่านั้น จากชุดอื่นมีประมาณ 60-70 คน ท่ามกลางความมืด เดินตามเพียงตะเกียงที่อยู่ตามรายทาง ยิ่งคืนนี้เป็นแรม 14 ค่ำไม่มีดวงจันทร์ปรากฏให้เห็นบนฟ้า อีกทั้งยังมีมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีๆ ในเขาชนไก่มาก ทำให้ผมรู้สึกขนลุกไม่เบา แต่ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงขึ้นก็ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
หลังจากนั้นจะเป็นการสอนวิธีการหาดาวเหนือโดยการดูกลุ่มดาวค้างคาวและกลุ่มดาวหมีเล็ก หลังจากนั้นจึงเข้านอนเวลา 21.30 น. คืนนี้เรานอนกันในป่า แต่มีเต้นสามเหลี่ยมให้ อากาศยังคงหนาวมาก
วันที่ 4
ของจริงทั้งหมดของการมาเขาชนไก่ คือวันนี้ เราจะได้เจอกับจ่านรก (ซึ่งตอนนี้เป็นหมวดแล้ว) เราออกเดินทางเวลา 5.00 น. ผ่านความมืด ต่างจากเมื่อวาน การเดินครั้งนี้ไม่มีแม้กระทั่งแสงไฟ เราเห็นคนด้านหน้าเพียงริบหรี่ แต่ต้องรีบเดินตามไปเพื่อไม่ให้หลง จนกระทั่งถึงฐานจ่านรก เราก็กินข้าวเช้ากันท่ามกลางความมืด
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น จ่านรกปรากฏกาย สั่งซ่อมเรารัวๆ ผมเหนื่อยมาก แต่เพราะโดนซ่อมเป็นกลุ่มใหญ่ จึงแอบอู้บ้าง เพื่อให้ร่างกายรับไหว หลังจากนั้นจะเป็นการเข้าตีและตั้งรับ ผมเข้าตีตอน 10 โมง แต่โชคดีวันนี้อากาศเย็นมาก ลมก็แรง ไม่ร้อนแม้แต่น้อยจะเสียอย่างเดียวก็ทรายเข้าตาเนี่ยละ เราต้องคอยฟังเสียงประกาศไว้ว่าให้ทำอะไร แต่ถึงเวลาจริง เราแถบไม่ได้ยินอะไรเลย ต้องดูคนด้านข้างไว้
ตอนบ่าย ผมเป็นฝ่ายตั้งรับบ้าง ผมไปตั้งรับตอน 14.30 นอกจากนั้นไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าการนอนอีกแล้ว พอได้เวลา ผมกลับโดนซ่อมรัวๆ เนื่องจากทำตามที่ครูฝึกต้องการไม่ได้ แต่มันก็ผ่านไปได้ด้วยดี
เวลา 16.00 น. เรากินข้าวเสร็จแล้วก็จะเดินกลับกองพัน โดยจ่านรกเป็นคนคุมแถวเอง จ่านรกจะพาเราไปถึงฝาย พร้อมเล่าเรื่องสิ่งที่เราควรภูมิใจกับการเรียน นศท. มา 3 ปี เมื่อเล่าจบแล้วก็ขึ้นช็อปเปอร์ แล้วขับจากไป เท่ห์สุดๆ ยังกะหลุดมากจากหนัง
ตอนกลางคืนวันนี้มีอิสระมากจนถึง 22.00 อยากทำไรก็เชิญ อาบน้ำ ทานอาหารได้หมด
วันที่ 5
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว เราตื่นเช้ามา 4.00 เพื่อเดินขึ้นเขาชนไก่ ระยะทางเพียง 2 กม. แต่ด้วยความชันทำให้ผมทรมาณมาก ระหว่างทางมีคนนั่งพักรายทางอยู่ประปราย ผมเห็นก็อยากนั่งนะ แต่ผมสู้ เลยก้าวขึ้นไปถึงด้านบนโดยไม่ได้พักเลย เมื่อถึงด้านบนแล้ว (จริงๆยังไม่ถึง เขาให้หยุดแค่บริเวณลานชนไก่) ผมนั่งพักได้เพียงครู่เดียวก็เดินลงมาจากเขาแล้ว แทนที่การลงจะสบาย เรากลับลำบากเหมือนเดิม เพราะการวิ่งลงจะทำให้เจ็บหน้าแข้งเป็นอย่างมาก จึงต้องค่อยๆลง
หลังจากกลับมาถึงกองพัน ก็จะกินข้าวแล้วไปกระโดดหอกันต่อ ซึ่งการกระโดดหอ ขอจำกัดสิทธิที่คนหนักไม่เกิน 80 กก. ซึ่งผมเกินมามากเลยละ ผมก็เลยไปนั่งฟังเรื่อง road map แทน
หลังจากจบก็เป็นพิธีปิด เราต้องตากแดดนานมาก น่าจะร่วมชั่วโมงได้แต่ถือว่าเป็นความทรมาณสุดท้ายเพื่อการจบแล้ว ผมก็ยอมทน
จนกระทั่งทุกอย่างมันจบลง รถบัสมาสงผมลงที่บิ๊กซีนครปฐม การฝึกจะยังไม่จบลงจนกว่า นศท. จะก้าวเข้าสู่เคหะสถานแล้วเปลี่ยนชุด ผมรีบขึ้นวินมอเตอร์ไซต์ ไปที่หอเพื่อเปลี่ยนชุด เป็นอันจบการฝึกอย่างสมบูรณ์